เรื่องของ Huawei เป็นอะไรที่มากกว่าเรื่องสงครามการค้า โดย Ray Dalio
Huawei ถูก google แบนจากการที่สหรัฐได้ประกาศแผนมาตรการฉุกเฉินทางเทคโนโลยี และนอกจากนั้นทาง Intel Qualcomm และ Broadcom ได้ประกาศว่าจะไม่ขายชิพให้กับ Huawei นี่คือสภาวะวิกฤติอย่างแรงของ Huawei ทำให้ใครหลายๆคนมองว่า การทำแบบเป็นเรื่องของสงครามการที่สหรัฐใช้ในการต่อรองกับจีน
ล่าสุด Ray Dalio เจ้าพ่อ Hedge Fund เป็นผู้ก่อตั้ง Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาให้ความเห็นประเด็นนี้ได้น่าสนใจมากครับ ซึ่งเป็นอีกมุมมองนอกจากเรื่องสงครามการค้าครับ
เป็นอะไรที่ชัดเจนตอนนี้สงครามสหรัฐกับจีนไม่ได้จำกัดที่สงครามการค้าเท่านั้น แต่นำไปสู่สงครามอื่นๆด้วย วันพุธที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทำการตัดรายการสิ่งที่จำเป็นสำหรับประเทศอื่นๆ(Sanctions) และตอนนี้กำลังอยู่บนโต๊ะเจรจาทำให้เราต้องจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดและคำนวณโอกาสที่จะเกิดและประเมินผลกระทบต่อบริษัท ตลาด และเศรษฐกิจ
เราต้องจินตนาการถึงสงครามชนิดต่างๆ(เศรษฐกิจ,การทหาร,อื่นๆ) ที่จีนและสหรัฐจะต้องเผชิญในระยะสั้นและในระยะยาว
สินค้าอะไรที่จะต้องถูกควบคุม?
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ตรวจสอบสินค้าที่เป็นเทคโนโลยีรากฐานและกำลังพัฒนา (Foundational and emergingtechnologies)14 ประเภท ที่มีโอกาสนำไปสู่ การจำกัดการส่งออกที่เข้มข้นขึ้น มีการประกาศกฏหมายการปฏิรูปการควบคุมการส่งออก (The Export Control Reform Act: ECRA) แน่นอนว่าจะมีสินค้าทางการทหารในการควบคุม แต่ก็มีสินค้าอื่นๆเช่นกันที่ได้รับการควบคุม เช่นBiotech Robotics
กระทรวงพาณิชย์ได้กล่าวไว้ การตัดสินว่าสินค้าใดควรได้รับการควบคุมจะประเมินจากสามปัจจัย
1. การพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีในต่างประเทศ
2. ผลกระทบของการควบคุมการส่งออกสินค้าที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีในสหรัฐ
3. ประสิทธิภาพของกฎหมายในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของสินค้าที่กำลังคิดค้นและกำลังพัฒนาในต่างประเทศ
กฏหมายการปฏิรูปการควบคุมการส่งออก (The Export Control Reform Act: ECRA)เป็นหนึ่งในกฏหมายการให้อำนาจป้องกันตัวเองแห่งชาติ (National Defense Authorization Authorities Act: NDAA) ซึ่งเป็นกฏหมายที่ทำให้ประเทศสหรัฐเข้มแข็ง ในการสอดส่องดูแลไม่เพียงแต่ เรื่องของการส่งออกเท่านั้น ยังดูแลถึง การลงทุนในประเทศสหรัฐของต่างประเทศ ผ่านกฏหมายการประเมินความเสี่ยงการลงทุนของต่างชาติ (Foreign Investment Risk review Modernization Act: FIRRMA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ค้าที่เป็นคู่แข่งกันอย่างรัสเซียกับจีน
ไม่เหมือนทีมบริหารประเทศสหรัฐก่อนหน้า ทีมบริหารประเทศของทรัมป์ ได้ระบุความหมายที่กว้างกว่าสำหรับ การรักษาความปลอดภัยของประเทศ นำไปสู่ความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจและความเป็นผู้นำในเทคโนโลยี
ประเด็นหลักๆ คือการระบุคำว่าเทคโนโลยีรากฐานและกำลังพัฒนา(Foundational and emerging Technologies) ที่กำหนดโดยกระทรวงพาณิชย์ภายใต้กฏหมายการปฏิรูปการควบคุมการส่งออก (The Export Control Reform Act: ECRA) ที่จะมีผลในอนาคตในการกำหนดขอบเขตการคัดเลือกการลงทุนสำหรับคณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศ(Foreign Investment In United States: CFIUS) การเขียนกฏหมายได้ให้ในการกำหนดประเภทสินค้าเทคโนโลยี “Critical Technologies” สินค้าที่มีความสำคัญ ส่งผลให้คณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Investment In United States: CFIUS) สามารถตรวจสอบได้ ตอนนี้เป็นโครงการนำร่องที่เป็นการเพิ่มอำนาจภายใต้กฎหมายการประเมินความเสี่ยงการลงทุนของต่างชาติ (Foreign Investment Risk review Modernization Act: FIRRMA) ที่กำหนดอุตสาหกรรมที่เข้าข่าย
จะเห็นได้ว่าการควบคุมสินค้าดังกล่าวนั้น เป็นความกังวลที่เกิดจากเรื่องของสงครามเทคโนโลยีที่ทางสหรัฐไม่อยากให้ประเทศอื่นมีอิทธิเหนือกว่าประเทสตัวเอง ทีนี้เราก็ต้องรอดูว่ามาตรการดังกล่าวจะได้ผลแค่ไหนและประเทศอื่นๆจะมีมาตรการตอบโต้ยังไง
ที่มา:
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK216326/