เจาะลึก Dow theory เรื่องที่นักเทคนิคคอลต้องเข้าใจ

ช่วยแชร์ต่อนะครับ

Dow theory เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคโดยเบื้องต้นใช้สำหรับการวิเคราะห์ ต่อมาได้มีการขยายไปใช้ในการลงทุนสินทรัพย์อื่น ๆ สำหรับ Dow theory คิดค้นโดย Charles H. Dow โดยได้เขียนลงไหนหนังสือ The wall Street ๋Journal ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง อันที่จริงแล้ว Charles H. Dow ไม่ได้เผยแพร่ทฤษฎีฉบับบสมบูรณ์ เนื่องจากเขาเสียชีวิตเสียก่อน แต่มีคนได้ทำการรวบรวมข้อมูลและทำการเผยแพร่ในเวลาต่อมา

Dow theory ประกอบด้วยหลักการ 6 ข้อ

1. ตลาดมีการเคลื่อนไหวด้วยกัน 3 รูปแบบ
1.1 การเคลื่อนไหวหลัก (Main Movement) เป็นการเคลื่อนไหวหลักตั้งแต่ต่ำกว่า 1 ปีจนถึงหลายปีว่าเป็นตลาดขาลงหรือขาขึ้น
1.2 ความผันผวนระยะกลาง (Medium Swing) เป็นการเคลื่อนไหวย่อตัวในระหว่างการเคลื่อนไหวกระแสหลัก จะกินระยะเวลา 10 วัน ถึง ประมาณ 1 ไตรมาส โดยปกติจะมีการย่อลงจากกระแสหลัก 33 เปอร์เซ็น ถึง 66 เปอร์เซ็น
1.3 ความผันผวนระยะสั้น (Short Swing) เป็นการเคลื่อนไหวหลักชั่วโมงถึงหลักเดือน

2. แนวโน้มตลาดประกอบด้วย 3 ระยะ
ระยะที่ 1 ระยะสะสม (accumulation phase) เป็นระยะหุ้นที่ยังมีการเก็บสะสมหุ้นอยู่ไม่มีการไล่ราคาขึ้นไป แต่จะไม่มีการราคา ทุบลงมาแรงๆ ราคาจะเคลื่อนตัวขี้นลงในกรอบแคบ (Sideway)
ระยะที่่ 2 ระยะการไล่ราคาหุ้น (public participation) ระยะนี้เป็นระยะที่มีการเคลื่อนที่ราคาเร็วและแรง มีการรับรู้ของนักลงทุนว่าหุ้นหรือสินทรัพย์นั้นเป็นสิ่งน่าสนใจทำให้แย่งกันซื้อหุ้นส่งผลให้ราคาขึ้นแรง
ระยะที่ 3 ระยะเวลาขายทำกำไร (Distribution) เป็นระยะเวลาที่นักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุุนทั้งสองระยะจะกำไร ทำให้มีการขายทำกำไรขึ้นมา

3. ตลาดสะท้อนข้อมูลข่าวสารทุกอย่าง (The market discounts all news)
ถ้าเราสังเกตดีๆ เราไม่จำเป็นจะต้องตามข่าวสารอะไรมากมาย ถ้าเป็นข่าวร้ายหุ้นราคาจะลงแรงมาก แต่ถ้าเป็นข่าวดีหุ้นจะราคาขึ้นเพราะว่าข่าวต่างๆได้สะท้อนออมาในราคาหุ้นนั่นเอง

4. หุ้นแต่ละอุตสาหกรรมต้อง Confirm ซึ่งกันและกัน (Stock market averages must confirm each other)
เรื่องนี้เกิดขึ้นในอเมริกา จากการสังเกตุเมื่อเศรษฐกิจจะดีหรือไม่นั้น หุ้นแต่ละอุตสาหกรรมต้องขึ้นด้วยกันหมด ไม่สามารถขึ้นเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะเมื่อเศรษฐกิจดี การผลิตก็จะเพิ่มทุกอุตสาหกรรม การบริโภคเพิ่มการใช้จ่ายแต่ละบริษัทจะเพิ่มมาขึ้นดังนั้น หุ้นทุกอุตสาหกรรมต้องขึ้นด้วยกันทั้งหมด

5. แนวโน้มราคายืนยันด้วยการซื้อขาย (Trends are confirmed by volume)
ราคาหุ้นนั้นจะเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม แต่จะเป็นแนวโน้มที่แท้จริงได้นั้นต้องมาพร้อม ปริมาณการซื้อขาย(Volume) ที่เพิ่มขึ้น ถ้าหากมีการเคลื่อนไหวราคาแต่ขาดปริมาณการซื้อขาย อาจจะไม่ใช่แนวโน้มที่แท้จริงต้องระวัง

6.แนวโน้มยังคงอยู่จนกว่าสัญญาณจะบอกว่าเปลี่ยนแนวโน้มแล้ว (Trends exist until definitive signals prove that they have ended)
ในระหว่างทางของแนวโน้มราคามันจะมีการย่อตัวบ้างเสมอ เราไม่ต้องไปสนใจมากก็ได้ เราควรที่จะไปสนใจในแนวโน้มใหญ่มากกว่าว่าตอนนี้เป็นแนวโน้มอะไร อย่าพยายามสวนทางกับแนวโน้มนั้นเด็ดขาด