บัญชีหุ้น cash balance, cash และ Margin ฉบับเข้าใจง่าย

ช่วยแชร์ต่อนะครับ

โบรกเกอร์หุ้นหรือบริษัทหลักทรัพย์หุ้น จะมีบริการหลากหลายให้กับลูกค้ารวมทั้งเรื่องของประเภทบัญชีหุ้น สำหรับโบรเกอร์หุ้นนั้นจะแบ่งบัญชีออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ

  • cash balance
  • cash
  • Margin

เรามาดูประเภทบัญชีหุ้นแต่ละประเภทกันเลยดีกว่าครับ

Cash balance

บัญชี cash balance จะเป็นการใช้ระบบ Pre-Paid นั่นคือการที่เราต้องจ่ายเงินก่อนถึงจะซื้อหุ้นได้ โดยเราจะทำการฝากเงินเข้าไปบัญชีหุ้นของเราที่โบรเกอร์เปิดให้ เราฝากไปเท่าไหร่ เราก็สามารถซื้อหุ้นมูลค่าหุ้นได้เท่านั้น

Cash

บัญชี Cash จะเป็นระบบ Post-Paid นั่นคือการที่เราซื้อหุ้นไปก่อนแล้วชำระเงินทีหลัง โดยปกติแล้วจะให้ชำระเงินระบบ T+2 หมายถึง ให้ชำระเงินไปอีก 2 วันนับจากวันนี้ เช่น เราซื้อหุ้นวันพุธ เราต้องชำระค่าหุ้นวันศุกร์

สำหรับบัญชี Cash นั้นทางโบรกเกอร์จะพิจารณาฐานะการเงินของคนสมัครด้วยต่างจาก Cash balance ที่ไม่พิจารณาฐานะการเงิน เพราะโบรกเกอร์มีความเสี่ยงว่าลูกค้าจะไม่ชำระเงินได้ รวมทั้งเวลาซื้อหุ้นผ่านโบรกเกอร์โดยบัญชี cash ต้องมีหลักประกัน เช่นหลักประกัน 20% ถ้าเรามีเงินสดหรือหุ้นในบัญชีหุ้น มูลค่า 200,000 บาท เราสามารถซื้อหุ้นได้มากสุดที่ 1,000,000 บาท

สำหรับการชำระเงินของบัญชี Cash สามารถชำระได้หลายรูปแบบทั้งนำเงินไปชำระผ่าน Bill Payment ที่ธนาคารโดยตรง แต่ส่วนใหญ่จะชำระผ่านการให้หักบัญชีธนาคารโดยตรงหรือเรียกว่าระบบ ATS

ลูกค้าโบรกเกอร์บางคนไม่ได้ต้องการที่จะชำระเงินทีหลัง แต่ด้วยความที่สะดวกการชำระผ่านการหักเงินอัตโนมัติ ก็เลือกบัญชี Cash แทนที่จะเลือกบัญชี Cash balance

Margin

บัญชี Margin เป็นบัญชีที่ลูกค้าจะกู้เงินโบรกเกอร์มาลงทุนโดยทางโบรกเกอร์จะคิดดอกเบี้ยกับลูกค้า โดยที่สามารถนำสินทรัพย์ต่างๆมาเป็นหลักประกัน เช่น การซื้อหุ้น 100 บาทต้องมีหลักประกัน 50 บาท

ความน่ากลัวอยู่ที่หลักประกันนี่แหละ หลักประสามารถเป็นทรัพย์สินต่างๆได้ ทั้งเงินสด รวมกระทั่งหุ้นด้วย เวลาที่หุ้นราคาลงหนักมูลค่าหลักประกันจะลดลงด้วย ทำให้ลูกค้าต้องนำทรัพย์สินประเภทอื่นมาเป็นหลักประกันแทน ถ้าไม่สามารถหาทรัพย์สินอื่นมาเป็นหลักประกันได้ หุ้นก็จะถูกบังคับขายเพื่อมาชำระหนี้