เจาะลึกแนวคิดองค์กรในรูปแบบราชการ (Bureaucracy) ของ Max Weber

ช่วยแชร์ต่อนะครับ

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ Max Weber กันก่อนว่าเขาคือใคร สำหรับ Max Weber นั้นก็คือ นักเศรษฐศาสตร์การเมืองและนักสังคมวิทยา เป็นคนเยอรมัน เราถือว่า Max Weber เป็นผู้ก่อตั้ง วิชาสังคมวิทยาสมัยใหม่และรัฐประศาสนศาสตร์ Max Weber เกิดที่ แอร์ฟวร์ท ราชอาณาจักรปรัสเซีย พ่อของเขาชื่อ มัคส์ เวเบอร์ เป็นนักการเมืองและข้าราชการท้องถิ่น พ่อของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อผลงานของเขาซึ่งเกี่ยวข้องกับการเมืองนั่นเอง Max Weber ได้เข้าเรียนกฎหมายที่ มหาวิทยาลัยไฮเดิลแบร์ค

Max Weber เสนอแนวคิดที่ว่าควรจัดการองค์กรในรูปแบบราชการ (Bureaucracy) ที่มองว่าควรมีการใช้อำนาจตามกฎหมาย (Legal Domination) ซึ่งมองว่าเป็นอำนาจที่มีความสมเหตุสมผลและชอบธรรมมากกว่าอำนาจอย่างอื่นอย่างอำนาจตามประเพณี (traditional Domination) หรืออำนาจจากบารมีเฉพาะตัว (Charisma Domination)

Max Weber ได้เสนอแนวคิดระบบราชการ (bureaucracy) ประกอบด้วยองค์ประกอบ 7 ข้อ

             1. หลักลำดับขั้น(Hierarchy)

             2. หลักความรับผิดชอบ (Responsibility)

             3. หลักแห่งความสมเหตุสมผล (Rationality)

             4. การมุ่งสู่ผลสำเร็จ (Achievement orientation)

             5. หลักการทำให้เกิดความแตกต่างหรือความชำนาญเฉพาะด้าน (Specialization)

             6. หลักระเบียบวินัย (Discipline)

             7. ความเป็นวิชาชีพ (Professionalization)

หลักลำดับขั้น(Hierarchy)

หลักลำดับขั้น(hierarchy) ของ Max Weber นั้นเป็นการเสนอแนวคิดว่าควรมีการจัดการองค์กรให้แบ่งอำนาจการสั่งการเป็นลำดับชั้น จากบนไปสู่ล่าง เช่น

ลูกน้อง 10 คน อยู่ใต้การสั่งการผู้จัดการ 1 คน

ผู้จัดการ10 คน อยู่ใต้การสั่งการผู้จัดการกลุ่ม 1คน

ผู้จัดการกลุ่ม 10 คนอยู่ใต้การสั่งการรองผู้บริหาร 1คน

รองผู้บริหารอยู่ใต้การสั่งการของผู้บริหาร

ความสำนึกแห่งความรับผิดชอบ (Responsibility)

ความสำนึกแห่งความรับผิดชอบ (responsibility) ในแนวคิดของ Max Weber นั้นเป็นการให้ผู้ปฏิบัติงานมีความรับผิดชอบหน้าที่ที่ตัวเองได้รับตามตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย และพร้อมให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบอยู่เสมอ

หลักแห่งความสมเหตุสมผล (Rationality)

ในการบริหารงานให้คำนึงถึงสองสิ่งนั่นก็คือ ประสิทธิภาพ (Efficiency) และ ประสิทธิผล (Effectiveness)

สำหรับคำว่าประสิทธิผล (Effectiveness) คือการที่มีการบริหารทำงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์การเรา ส่วนคำว่าประสิทธิภาพ (Efficiency) เป็นการที่เราสามารถบรรลุเป้าหมายขององค์กรหรือประสิทธิผลได้แล้ว แต่จะต้องสามารถลดปัจจัยการนำเข้า (Input) และสามารถเพิ่มปัจจัยการส่งออก (Output) ได้ ยกตัวอย่างโรงเรียนที่มีประสิทธิผล (Effectiveness) คือโรงเรียนที่สามารถทำให้เด็กจบการศึกษาได้ สำหรับโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพ (Efficiency) จะหมายถึงโรงเรียนที่สามารถทำให้เด็กจบการศึกษาด้วยความรู้ที่ดี นั่นเอง

หลักการมุ่งสู่ผลสำเร็จ (Achievement orientation)

สิ่งสำคัญขององค์กรคือเป้าหมายขององค์กร เช่น ธนาคารกลาง มีหน้าที่เป็นนายธนาคารของประเทศต้องดูแลเงินในประเทศ นั่นคือเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย หากสภาวะเงินของประเทศกำลังประสบปัญหา ธนาคารกลางมีหน้าที่ต้องไปจัดการแก้ปัญหา นั่นคือเป้าหมายขององค์กร

หลักการทำให้เกิดความแตกต่างหรือความชำนาญเฉพาะด้าน (Specialization)

เป็นการแบ่งงานตามความสามารถเฉพาะ เช่น โรงพยาบาลมีหน้าที่รักษาพยาบาล กรมตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบ รวมกระทั่งการแบ่งงานตามเขต เช่นการแบ่งงานเป็นจังหวัด อบต. เทศบาลต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งตามผู้รับบริการอย่างเช่นโรงพยาบาลสงฆ์

หลักระเบียบวินัย (Discipline)

หลักระเบียบวินัย (Discipline) ของ Max Weber จะพูดถึงการที่มีการลงโทษหากทำผิดตามที่ได้ระบุไว้ รวมไปถึงการให้รางวัลแรงจูงใจต่างๆ

ความเป็นวิชาชีพ (Professionalization)

การทำงานของบุคลากรในองค์กรควรต้องมีความรู้ความเข้าใจ ในด้านที่ตัวเองทำงาน รวมไปถึงการฝึกปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น มีการอบรมให้มีความเชี่ยวชาญ

จะเห็นได้ว่าแนวคิดแบบราชการ (Bureaucracy) ของ Max weber เองก็มีข้อดีเหมือนกันที่จะไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำนอกลู่นอกทางได้ แต่ด้วยบริบทใหม่ของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากจึงเป็นคำถามว่าแนวคิดแบบราชการ (Bureaucracy) ยังคงใช้ได้หรือไม่?