งบกำไรขาดทุนคืออะไร?และบอกอะไรเรา?
งบกำไรขาดทุนจริงๆแล้ว แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนหลักก็คือ
- รายได้
- ค่าใช้จ่าย
- กำไรสุทธิ
เป็นที่มา รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไรสุทธิ แต่สิ่งที่งบกำไรขาดทุนบอกเรานั้นคือรายละเอียดในส่วนของรายได้ และค่าใช้จ่ายแต่ล่ะประเภทนั่นเอง
รายได้
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1.รายได้หลัก (Direct Revenue ) หมายถึง รายได้ที่เกิดจากการดำเนินการหลัก เช่น ถ้าเราเปิดโรงแรม ก็จะมีรายได้จากค่าเช่านั่นเอง
2. รายได้อื่น (Other Revenue) หมาย รายได้นอกจากรายได้หลัก เช่น เรามีเงินสำรองไว้ไปฝากธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ยมา นั่นก็คือรายได้อื่น
ค่าใช้จ่าย
1. ต้นทุนสินค้าที่ขาย (Cost of Goods Sold) หรือต้นทุนขาย หมายถึง ต้นทุนที่ใช้โดยตรงในการผลิตสินค้า เช่น ถ้าเราจะผลิต ปากกา ก็จะต้องมี ค่าแรงงาน ค่าปอกปากกา ค่าน้ำหมึก เป็นต้น
2. ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expenses) หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่ทำให้สินค้าขายไปได้ เป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญต่อการดำเนินงาน เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดหลังจากเราผลิตสินค้ามาแล้ว ต้องนำสินค้าไปสู่ผู้บริโภค เช่น ค่าใช้จ่ายทางการตลาด ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ค่าคอมมิชชั่นสำหรับเซลล์ ค่ารับรองลูกค้า เป็นต้น
3. ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrator Expenses) หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานให้กิจการดำเนินไป เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการผลิต การขายโดยตรง เช่น เงินเดือนผู้บริหาร ค่าใช้จ่ายในสำนักงาน ค่าเช่าตึกสำนักงานใหญ่
4. ค่าเสื่อม (Depreciation) คือค่าใช้จ่ายที่บริษัทคิดจ่ายที่คิดจากเวลาเราซื้อ สินทรัพย์แล้ว ปกติมันจะเสื่อมค่าไปตามเวลา เช่น เราซื้อตึกมันก็ต้องเมีผุพังตามเวลา ดังนั้นเราต้อง ค่อยๆหักมูลค่าออกมาเป็นค่าใช้จ่ายซึ่งเรียกว่าค่าเสื่อม
5. ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) คือ ค่าใช้จ่ายเหมือนกับค่าเสื่อมเลยแต่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน เช่น สัมปทาน ลิขสิทธิ์
6. ภาษี (TAX) คือ ตรงตัวครับคือภาษีที่ต้องจ่ายให้กับรัฐบาล
งบการกำไรขาดทุนบอกอะไรเรา?
– จุดอ่อนจุดแข็งของบริษัท
การที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายส่วนไหนมากๆ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าส่วนอื่น จะแสดงถึงจุดอ่อน เช่น ค่าใช้จ่ายพนักงานของบริษัทสายการบินแห่งหนึ่งที่มีมูลค่าสูงมาก แสดงถึงจุดอ่อน อำนาจต่อรองระหว่างพนักงานที่มีมากต่อบริษัท
– แนวโน้มกำไรบริษัท
ถ้าเราเอางบกำไรขาดทุนมาหลายๆปี มาเทียบกันแล้วเห็นว่า รายได้ ค่าใช้จ่ายส่วนไหนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลงโดยตลอด ก็จะแสดงถึงแนวโน้มว่าอนาคตบริษัทจะเป็นอย่างไรได้ เช่น ถ้าบริษัทมีการทำการตลาดเพิ่มขึ้นโดยตลอด แต่ยอดขายกับไม่เพิ่มเลย อาจแสดงถึง การมีสินค้าชนิดใหม่มาทดแทนสินค้าแบบเดิม ทำให้บริษัทต้องเพิ่มการทำการตลาด แต่ไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้
– เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับ
เงินปันผลได้จากการที่บริษัทมีกำไรแล้วนำเงินมาแบ่งผู้ถือหุ้น ยิ่งกำไรบริษัทสูงเท่าไหร่ เงินปันผลก็ยิ่งสูงเท่านั้น